ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน เกิดขึ้นได้ อย่างไร?
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เป็นระยะเวลานาน จะเป็นพิษต่อร่างกาย โดยเฉพาะ ระบบหลอดเลือด ซึ่งเป็นเสมือนท่อส่งน้ำเลี้ยงของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีจะมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดด้วย โดยจะมีไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ และมีความดันเลือดสูงกว่าปกติ ทั้งระดับน้ำตาลที่สูง ไขมันในเลือดที่สูง และความดันโลหิตที่สูงจะมีผลต่อผนังหลอดเลือด เกิดการเสื่อมสภาพ มีการอักเสบ และมีการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ตีบ แคบลง หรืออาจตันไปในที่สุด เลือดผ่านไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่ได้ เกิดภาวะขาดเลือด ขาดสารอาหาร ขาดออกซิเจน ทำให้อวัยวะนั้นๆ เสียหาย เช่น หลอดเลือดหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยงเกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หากเกิดกับเส้นเลือดสมอง ก็จะเกิดอาหารอัมพาต ถ้าเกิดกับเส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทเสื่อม โดยเฉพาะที่บริเวณเท้า หากเกิดกับจอประสาทตาทำให้จอประสาทตาเสื่อม มีเลือดออก จอประสาทตาหลุดลอก ทำให้ตาบอด และถ้าเกิดกับเส้นเลือดที่ไต ทำให้ไตขาดเลือด ไตเสื่อม เป็นโรคไตวายในที่สุด
โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานที่พบบ่อย
1.ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน เนื่องจากไต เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด มีเส้นเลือดขนาดเล็กมากมายบริเวณไต เมื่อผนังเส้นเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน การทำหน้าที่ในการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานกว่า 10 ปี มักเกิดปัญหาไตเสื่อม แต่ความรุนแรงและระยะการเกิดจะมากหรือน้อยขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด และที่สำคัญที่สุดคือ การตรวจหาปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการด้วยวิธีตรวจหาปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะที่เก็บภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้นนี้ จะมีการดูแลรักษาเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้มาก สามารถยืดระยะเวลาการดำเนินของโรค เข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้อีกหลายปี
ผู้ป่วยที่มีปริมาณไข่ขาวออกมาในปัสสาวะปริมาณมาก จนสามารถตรวจพบได้โดยใช้แถบตรวจ แสดงว่า ไตเสื่อมมากแล้ว ระยะนี้การควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่สามารถชะลอความเสื่อมของไตลงได้ แต่การรับประทานอาหารโปรตีนต่ำและการได้รับยาลดปริมาณไข่ขาวที่รั่วออกมาใน ปัสสาวะ ช่วยทำให้ไตไม่ต้องทำหน้าที่หนักเกินไป
เมื่ออาการเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ความดันเลือดสูงมาก คลื่นไส้ อาเจียน ซีด อ่อนเพลีย อาหารโปรตีนต่ำจะช่วยลดอาการไม่สบายจากของเสียคั่งค้างในกระแสเลือดได้
ในระยะนี้แพทย์อาจพิจารณาให้ได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีฟอกเลือก ล้างไตทางช่องท้อง หรือเปลี่ยนไต ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
วิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงและชะลอความเสื่อมของไต
เมื่อเริ่มมีภาวะไตเสื่อมการปฏิบัติตัวที่ถูกวิธีสามารถลดความรุนแรงและชะลอความเสื่อมของไต คือ
1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากที่สุด
2. เริ่มรับประทานอาหารที่มีโปรตีนน้อยลง และเลือกรับประทานโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งได้แก่ ไข่เนื้อที่ไม่ติดหนัง หลีกเลี่ยงส่วนของเอ็น พังผืด เครื่องในสัตว์ เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้จะเพิ่มภาระหนักให้กับไตที่ต้องขับของเสียออก ควรรับประทานเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อปลา เนื้อไก่
3. ลดอาหารที่มีรสเค็ม และอาหารที่มีผงชูรส สารกันบูดต่างๆ เพราะมีส่วนผสมของเกลือโซเดียมที่ทำให้ความดันเลือดสูงและเกิดอาการบวม
4. ควบคุมความดันเลือดอย่างเคร่งครัด ไม่ให้เกิน 130/80 มม.ปรอท
2. จอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจกจากเบาหวาน
เนื่องจากบริเวณจอตาเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมาก เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองจนแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา เมื่อรอยรั่วหายดีแล้วเกิดแผลเป็นซึ่งจะขัดขวางการไหลของเลือดภายในตา จึงเกิดการงอกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยในการไหลเวียนของเลือด แต่เส้นเลือดฝอยที่งอกใหม่จะเปราะบาง แตกง่าย ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและจอตา ระยะนี้จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการตามัว เมื่อแผลเป็นเกิดมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว เกิดการดึงรังและฉีกขาดของเนื้อเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา จะมีอาการเหมือนมีม่านดำขึงผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา หากมีอาการเช่นนี้ให้ไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาจทำให้ตาบอดได้
การตรวจพบความผิดปกติของผนังเส้นเลือดในตา ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการตามัวโดยการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตา จะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ เมื่อตรวจพบความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในลูกตา การรักษาด้วยเลเซอร์ให้ผลดีโดยจะช่วยป้องกัน หรือชะลอการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ และสามารถทำลายเส้นเลือดฝอยที่สร้างใหม่แต่เปราะนั้นได้ด้วย
3. ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน
การ รักษาอาการปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ทำได้เพียงบำบัดตามอาการเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้คืนกลับสู่สภาพเดิมได้ แต่การควบคุมน้ำตาลในเลือดจะช่วยลดความรุนแรงได้
4. โรคหลอดเลือดหัวใจ
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
1. ควบคุมเบาหวานไม่ดี
2. ความดันเลือดสูง
3.ไขมันในเลือดสูง
4.ไม่ออกกำลังกาย อ้วน
5. สูบบุหรี่ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว
6. ผู้ที่เครียดเป็นประจำ
ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น และตรวจร่างกายเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้มาก
5. โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
การป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
1. ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ให้เกิน 140 มก./ดล.2. ควบคุมความดันเลือดไม่ให้เกิน 130/80 มม.ปรอท
3. ควบคุมน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน
4. ควบคุมระดับไขมันในเลือด
• คอเลสเตอรอล ต่ำกว่า 200 มก./ดล.
• ไตรกลีเซอไรด์ ต่ำกว่า 150 มก./ดล.
• เอชดีแอล สูงกว่า 40 มก./ดล.
5. งดสูบบุหรี่
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
7. ดูแลรักษาเท้า โดยป้องกันไม่ให้เกิดแผลและหมั่นตรวจเท้าสม่ำเสมอ
8. ตรวจตา และตรวจหาปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะ ปีละ 1 ครั้ง แม้ยังไม่มีอาการ
ภาวะแทรกซ้อน หรือโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิต ใจ ส่งผลต่อการทำงานและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และบางครั้งโรคแทรกซ้อนนั้นอาจอันตรายถึงแก่ชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การมีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรคดังกล่าว ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานมีสุขภาพที่ดี ลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการรักษาโรคแทรกซ้อน และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
ข้อแนะนำการป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
1. ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงคนปกติมากที่สุดโดยการเลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในกรณีที่ต้องการรสหวาน สามารถใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาร์แทม ทดแทนน้ำตาลได้
2. พบแพทย์ตรงตามนัด เพื่อรับการตรวจสุขภาพ และคำแนะนำในการดูแลตนเองที่ถูกต้องเหมาะสม
3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5.งดสูบบุหรี่
6. ดูแลรักษาและตรวจเท้าของตนเองทุกวันถ้ามีแผลหรือมีความผิดปกติเช่นการชาไม่รับรู้ความรู้สึกควรพบแพทย์ทันที แม้ไม่มีความผิดปกติทางตาก็ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี
โรคเบาหวานไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมให้ผู้ป่วยมีชีวิตอย่างปกติสุขได้ การควบคุมเบาหวานให้ได้ผลต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขโดยปราศจากโรคแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง จากการศึกษาในต่างประเทศมีข้อมูลสนับสนุนว่า การควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุดมีผลในการป้องกันและชลอการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานได้
ลิฟเวล ( LIFVEL) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 แคปซูล ราคา 1,900 บาท
สั่งสินค้าคลิกที่นี้
ดูข้อมูลที่ http://lifvelsaibua.blogspot.com
สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่
คุณ สายบัว บุญหมื่น โทร. 088 415 3926
ID Line : bua300908
อีเมล์ sboonmuen@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น