วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคเบาหวาน โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน และลิฟเวล ( LIFVEL)

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
     

ภาวะแทรกซ้อน หรือโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานหลายปี เช่น ปัญหาด้านสายตา ไตวาย  โรคหัวใจ อัมพาต ขาชา และแผลเน่า โดยเฉพาะบริเวณเท้า เป็นต้น ความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย  ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน และระดับน้ำตาลในเลือด การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากเท่าไร ช่วยชะลอและลดความรุนแรงของโรคแทรกซ้อนเรื้อรังลงได้มากเท่านั้น  และที่สำคัญคือ  โรคแทรกซ้อนเรื้อรังดังกล่าวอาจกลับคืนสู่สภาพปกติได้  ถ้าผู้ป่วยได้รับการตรวจพบความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้น  และได้รับการรักษาแต่เริ่มแรก




โรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน เกิดขึ้นได้ อย่างไร?
ผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เป็นระยะเวลานาน จะเป็นพิษต่อร่างกาย  โดยเฉพาะ ระบบหลอดเลือด ซึ่งเป็นเสมือนท่อส่งน้ำเลี้ยงของร่างกาย  ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีจะมีความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดด้วย โดยจะมีไขมันในเลือดสูงกว่าปกติ และมีความดันเลือดสูงกว่าปกติ  ทั้งระดับน้ำตาลที่สูง ไขมันในเลือดที่สูง และความดันโลหิตที่สูงจะมีผลต่อผนังหลอดเลือด เกิดการเสื่อมสภาพ มีการอักเสบ และมีการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดทำให้ตีบ แคบลง หรืออาจตันไปในที่สุด เลือดผ่านไปยังอวัยวะต่างๆ ไม่ได้ เกิดภาวะขาดเลือด ขาดสารอาหาร ขาดออกซิเจน ทำให้อวัยวะนั้นๆ เสียหาย  เช่น หลอดเลือดหัวใจขาดเลือดมาเลี้ยงเกิดเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หากเกิดกับเส้นเลือดสมอง ก็จะเกิดอาหารอัมพาต ถ้าเกิดกับเส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทเสื่อม  โดยเฉพาะที่บริเวณเท้า  หากเกิดกับจอประสาทตาทำให้จอประสาทตาเสื่อม มีเลือดออก จอประสาทตาหลุดลอก ทำให้ตาบอด และถ้าเกิดกับเส้นเลือดที่ไต  ทำให้ไตขาดเลือด  ไตเสื่อม เป็นโรคไตวายในที่สุด


โรคแทรกซ้อนจากเบาหวานที่พบบ่อย
1.ไตเสื่อม ไตวาย จากเบาหวาน  เนื่องจากไต เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองสารต่างๆ ที่อยู่ในกระแสเลือด  มีเส้นเลือดขนาดเล็กมากมายบริเวณไต  เมื่อผนังเส้นเลือดถูกทำลายโดยน้ำตาลในเลือดที่สูงอยู่เป็นเวลานาน  การทำหน้าที่ในการกรองของไตจะเริ่มเสื่อมลง ทำให้โปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะ




ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานกว่า  10  ปี มักเกิดปัญหาไตเสื่อม  แต่ความรุนแรงและระยะการเกิดจะมากหรือน้อยขึ้นกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด และที่สำคัญที่สุดคือ  การตรวจหาปริมาณโปรตีนในปัสสาวะ ตั้งแต่เริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการด้วยวิธีตรวจหาปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะที่เก็บภายใน  24  ชั่วโมง  เมื่อตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้นนี้  จะมีการดูแลรักษาเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของไตได้มาก  สามารถยืดระยะเวลาการดำเนินของโรค เข้าสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้อีกหลายปี
ผู้ป่วยที่มีปริมาณไข่ขาวออกมาในปัสสาวะปริมาณมาก จนสามารถตรวจพบได้โดยใช้แถบตรวจ  แสดงว่า ไตเสื่อมมากแล้ว  ระยะนี้การควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่สามารถชะลอความเสื่อมของไตลงได้  แต่การรับประทานอาหารโปรตีนต่ำและการได้รับยาลดปริมาณไข่ขาวที่รั่วออกมาใน ปัสสาวะ ช่วยทำให้ไตไม่ต้องทำหน้าที่หนักเกินไป
เมื่ออาการเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย  ผู้ป่วยจะมีอาการบวม  ความดันเลือดสูงมาก  คลื่นไส้  อาเจียน ซีด  อ่อนเพลีย  อาหารโปรตีนต่ำจะช่วยลดอาการไม่สบายจากของเสียคั่งค้างในกระแสเลือดได้
ในระยะนี้แพทย์อาจพิจารณาให้ได้รับการบำบัดรักษาด้วยวิธีฟอกเลือก  ล้างไตทางช่องท้อง  หรือเปลี่ยนไต ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย

วิธีการปฏิบัติตัวเพื่อลดความรุนแรงและชะลอความเสื่อมของไต
เมื่อเริ่มมีภาวะไตเสื่อมการปฏิบัติตัวที่ถูกวิธีสามารถลดความรุนแรงและชะลอความเสื่อมของไต คือ
1. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงระดับปกติมากที่สุด




2.  เริ่มรับประทานอาหารที่มีโปรตีนน้อยลง  และเลือกรับประทานโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งได้แก่  ไข่เนื้อที่ไม่ติดหนัง  หลีกเลี่ยงส่วนของเอ็น  พังผืด  เครื่องในสัตว์  เพราะเนื้อสัตว์เหล่านี้จะเพิ่มภาระหนักให้กับไตที่ต้องขับของเสียออก  ควรรับประทานเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อปลา เนื้อไก่
3. ลดอาหารที่มีรสเค็ม  และอาหารที่มีผงชูรส  สารกันบูดต่างๆ  เพราะมีส่วนผสมของเกลือโซเดียมที่ทำให้ความดันเลือดสูงและเกิดอาการบวม
4. ควบคุมความดันเลือดอย่างเคร่งครัด  ไม่ให้เกิน  130/80  มม.ปรอท

2. จอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจกจากเบาหวาน
เนื่องจากบริเวณจอตาเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมาก  เมื่อเส้นเลือดฝอยถูกทำลายทำให้ผนังเส้นเลือดฝอยโป่งพองจนแตก มีเลือดไหลออกมาในบริเวณวุ้นตา  เมื่อรอยรั่วหายดีแล้วเกิดแผลเป็นซึ่งจะขัดขวางการไหลของเลือดภายในตา  จึงเกิดการงอกใหม่ของเส้นเลือดฝอย เพื่อช่วยในการไหลเวียนของเลือด  แต่เส้นเลือดฝอยที่งอกใหม่จะเปราะบาง  แตกง่าย  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในวุ้นตาและจอตา  ระยะนี้จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการตามัว  เมื่อแผลเป็นเกิดมากขึ้นจะสร้างเส้นใยเป็นร่างแหในลูกตา  เมื่อรอยแผลเป็นหดรัดตัว  เกิดการดึงรังและฉีกขาดของเนื้อเยื่อบริเวณส่วนหลังของลูกตา  จะมีอาการเหมือนมีม่านดำขึงผ่านขวางตาหรือเหมือนมีแสงสีดำพาดผ่านตา  หากมีอาการเช่นนี้ให้ไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาจทำให้ตาบอดได้


การตรวจพบความผิดปกติของผนังเส้นเลือดในตา ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอาการตามัวโดยการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจตา  จะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้  เมื่อตรวจพบความผิดปกติของหลอดเลือดฝอยในลูกตา  การรักษาด้วยเลเซอร์ให้ผลดีโดยจะช่วยป้องกัน  หรือชะลอการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่  และสามารถทำลายเส้นเลือดฝอยที่สร้างใหม่แต่เปราะนั้นได้ด้วย



เบาหวานขึ้นตามีสาเหตุจากการสะสมรวมตัวกันของน้ำตาลบริเวณเลนส์ตา  ทำให้เลนส์ตาบวมและมัวลงไม่เกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือดภายในลูกตา  ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการควบคุมน้ำตาลในเลือด และรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์

3. ปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน



ปลายประสาทเสื่อมเป็นโรคแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน  โดยไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ทำให้รู้สึกรำคาญและทุกข์ทรมาน  เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเส้นประสาทถูกทำลาย   ไม่สามารถส่งออกซิเจนมาตามกระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงเส้นประสาทได้  รวมถึง การมีน้ำตาลสะสมรวมตัวกันอยู่บริเวณเส้นประสาทเองด้วย จึงทำให้การทำงานของเส้นประสาทเสื่อมลง   การรับรู้ความรู้สึกต่างๆลดลง  โดยเฉพาะบริเวณปลายมือปลายเท้า จะเกิดอาการชา  เมื่อกระทบถูกความร้อนหรือเจ็บปวดจะไม่ค่อยรู้สึก  จึงเป็นอันตรายกับผู้ป่วยเบาหวาน  เพราะอาจทำให้เกิดแผลได้ง่ายโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อเป็นมากอาจทำให้กล้ามเนื้อลีบเล็กลง  ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลง และยังส่งผลต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณระบบทางเดินอาหารด้วย จึงทำให้เกิดอาการท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับผู้ชายที่เป็นเบาหวานมานามมักพบปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย
การ รักษาอาการปลายประสาทเสื่อมจากเบาหวาน ทำได้เพียงบำบัดตามอาการเท่านั้น ไม่สามารถรักษาให้คืนกลับสู่สภาพเดิมได้  แต่การควบคุมน้ำตาลในเลือดจะช่วยลดความรุนแรงได้

4. โรคหลอดเลือดหัวใจ



โรคหลอดเลือดหัวใจเป็นโรคแทรกซ้อนที่คุกคามต่อชีวิตได้  ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก จากเส้นเลือดหัวใจตีบ  กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จนกระทั่งกล้ามเนื้อหัวใจตายในที่สุด

ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ 
1. ควบคุมเบาหวานไม่ดี
 
2. ความดันเลือดสูง




3.ไขมันในเลือดสูง 
4.ไม่ออกกำลังกาย อ้วน 
5. สูบบุหรี่ประวัติโรคหัวใจในครอบครัว  
6. ผู้ที่เครียดเป็นประจำ
ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวข้างต้น  และตรวจร่างกายเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้มาก

5. โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน



โรคหลอดเลือดสมองตีบตันเป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากหลอดเลือดที่มาเลี้ยงบริเวณสมองตีบตัน  ทำให้เกิดการพิการหรืออาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้  โอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบตันจะสูงมากขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความดันเลือดสูงร่วมด้วย  ทำให้อวัยวะที่สมองส่วนนั้นควบคุมอยู่ อ่อนแรงลงไปเกิดอัมพฤกษ์  หรืออัมพาต   เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด  ผ่านพ้นภาวะอันตรายแล้ว  การทำกายภาพบำบัดจะช่วยฟื้นฟูสภาพการทำงานของขาที่อ่อนแรงนั้นได้ดียิ่งขึ้น


การป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
1. ควบคุมน้ำตาลในเลือดไม่ให้เกิน   140 มก./ดล.
2.   ควบคุมความดันเลือดไม่ให้เกิน   130/80  มม.ปรอท
3.   ควบคุมน้ำหนักตัวอย่าให้อ้วน

4.  ควบคุมระดับไขมันในเลือด
    • คอเลสเตอรอล    ต่ำกว่า   200  มก./ดล.
    • ไตรกลีเซอไรด์    ต่ำกว่า   150  มก./ดล.
    • เอชดีแอล          สูงกว่า    40   มก./ดล.
5. งดสูบบุหรี่
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ




7. ดูแลรักษาเท้า โดยป้องกันไม่ให้เกิดแผลและหมั่นตรวจเท้าสม่ำเสมอ


8. ตรวจตา  และตรวจหาปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะ  ปีละ  1 ครั้ง แม้ยังไม่มีอาการ

 ภาวะแทรกซ้อน หรือโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิต ใจ  ส่งผลต่อการทำงานและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน  สูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น  และบางครั้งโรคแทรกซ้อนนั้นอาจอันตรายถึงแก่ชีวิต  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที  การมีความรู้ในการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรคดังกล่าว  ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานมีสุขภาพที่ดี  ลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการรักษาโรคแทรกซ้อน  และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

ข้อแนะนำการป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
   1. ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงคนปกติมากที่สุดโดยการเลือกบริโภคอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในกรณีที่ต้องการรสหวาน สามารถใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาร์แทม ทดแทนน้ำตาลได้
   2. พบแพทย์ตรงตามนัด เพื่อรับการตรวจสุขภาพ และคำแนะนำในการดูแลตนเองที่ถูกต้องเหมาะสม
   3. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน




   4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
   5.งดสูบบุหรี่
   6. ดูแลรักษาและตรวจเท้าของตนเองทุกวันถ้ามีแผลหรือมีความผิดปกติเช่นการชาไม่รับรู้ความรู้สึกควรพบแพทย์ทันที แม้ไม่มีความผิดปกติทางตาก็ควรตรวจตาเป็นประจำทุกปี

โรคเบาหวานไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมให้ผู้ป่วยมีชีวิตอย่างปกติสุขได้ การควบคุมเบาหวานให้ได้ผลต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ



ในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขโดยปราศจากโรคแทรกซ้อนทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง จากการศึกษาในต่างประเทศมีข้อมูลสนับสนุนว่า การควบคุมระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงกับคนปกติมากที่สุดมีผลในการป้องกันและชลอการเกิดโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานได้



ลิฟเวล (LIFVEL) เป็นอาหารเสริมผู้ป่วยเบาหวาน มีสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ลดสาเหตุโรคเบาหวานเพราะมีฤทธิ์ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และโครเมียม พิโคลิเนตที่มีช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานในปริมาณสูง



ลิฟเวล ( LIFVEL) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ผลิตภัณฑ์ ลิฟเวล ( LIFVEL)  สามารถแก้ปัญหา โรคเบาหวานอย่างได้ผล


ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 แคปซูล ราคา 1,900 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

   ดูข้อมูลที่   http://lifvelsaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ  สายบัว   บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น